วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

การตอบจดหมายกลับ

หลังจากที่ได้เปิดอ่านจดหมายแล้ว ก็จะเป็นขั้นตอนการตอบจดหมาย การตอบจดหมายจำเป็นต้องมีจดหมายเปิดค้างไว้เสมอ หากท่านปิดจดหมายไปแล้วก็ขอให้เปิดจดหมายขึ้นมาใหม่ ขั้นตอนการตอบจดหมายมีดังนี้

ขั้นตอน

1.เมื่ออ่านข้อความจดหมายจบแล้ว และต้องการตอบจดหมายกลับให้คลิกที่ปุ่ม Reply





2.สังเกตที่ช่อง To จะมี e-Mail Address ของผู้ที่ส่งจดหมายมาหาท่านปรากฏอยู่ ซึ่งท่านไม่ต้องพิมพ์ e-Mail Address ลงในช่องนี้ จากนั้นให้พิมพ์ข้อความตอบจดหมายเรียบร้อยแล้วให้คลิกปุ่ม Send




3.เมื่อส่งจดหมายเสร็จเรียบร้อยแล้วจะได้กรอบยืนยันการส่งจดหมาย ดังภาพ 



ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการรับและตอบจดหมาย 

การส่งต่อจดหมาย

5. การส่งต่อจดหมาย
ท่านสามารถส่งต่อจดหมายที่ท่านได้รับไปให้บุคคลอื่นได้ โดยสามารถทำได้ 2 แบบ ได้แก่
  • ส่งต่อจดหมายแบบ Redirect หมายถึง การส่งต่อจดหมายโดยคงชื่อผู้ส่งเดิมไว้
  • ส่งต่อจดหมายแบบ Forward หมาย ถึง การส่งต่อจดหมายโดยใช้ชื่อผู้ส่งต่อ เนื้อหาของจดหมายที่ส่งต่อสามารถถูกดัดแปลง แก้ไข เพิ่มเติม หรือถูกลบออกโดยผู้ส่งต่อได้
5.1 ส่งต่อจดหมายแบบ Redirect ( จดหมายที่คงชื่อผู้ส่งจดหมายคนเดิม)
5.1.1 คลิกที่ Redirect



5.1.2 พิมพ์ที่อยู่อีเมลของผู้รับ
5.1.3 คลิกที่ Send Message เพื่อส่งจดหมาย
5.2 การส่งจดหมายแบบ Forward (ชื่อผู้ส่งต่อจดหมายเป็นชื่อผู้ส่งจดหมาย)
5.2.1 คลิกที่ Forward
5.2.2 พิมพ์ชื่อที่อยู่อีเมลของผู้รับ ผู้ส่งสามารถเพิ่มเติมข้อความหรือ
ลบข้อความตามที่ต้องการก่อนส่งต่อจดหมายได้



5.2.3 คลิกที่ Send Message เพื่อส่งจดหมาย

การลบจดหมาย

เมื่อท่านใช้บริการรับส่งจดหมาย e-Mail มาถึงระดับหนึ่ง จดหมายจะเต็มกล่องเก็บจดหมาย เมื่อจดหมายเต็มกล่องเก็บแล้วจะส่งผลให้โปรแกรม  Mail ไม่ทำงาน การจัดการลบจดหมายจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่ง ขั้นตอนการลบจดหมายมีดังนี้
ขั้นตอน
1. คลิกที่ Inbox เมื่อคลิกแล้วจะได้กรอบ Inbox ดังภาพ





2. จากนั้นคลิกเครื่องหมายถูกที่กรอบสี่เหลี่ยม ดังภาพ แล้วคลิกปุ่ม Delete ตามลำดับ



3.จดหมายก็จะถูกลบออกจากกล่อง Inbox จดหมายที่ถูกลบออกไปจะถูกนำไปเก็บที่ Trash Can และจะถูกลบโดยอัตโนมัติต่อไป นั้นหมายความว่าหากท่านลบจดหมายผิด ท่านยังสามารถกู้จดหมาย จากกล่อง Trash Can นี้ได้ โดยการ คลิกที่ Trash Can แล้วคลิกเครื่องหมายถูกในกรอบสี่เหลี่ยมหน้าจดหมายที่ต้องการกู้ จากนั้นมาคลิกที่เมนู Recover to Folder แล้วเลือกกล่องจดหมายที่ต้องการกู้ไปเก็บไว้ ดังภาพ


การกู้จดหมายกลับคืน

โดยทั่วไป คุณสามารถกู้คืนกล่องจดหมายที่ลบได้ ถ้ากล่องจดหมายนั้นถูกลบในระยะเวลาไม่เกิน 30 วันที่ผ่านมา สำหรับคำอธิบายเมื่อกล่องจดหมายที่ถูกลบไม่สามารถกู้คืนได้ โปรดดูที่ กล่องจดหมายที่ลบ
คุณสามารถกู้คืนกล่องจดหมายที่ถูกลบในแผงควบคุม Exchange สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่ การกู้คืนกล่องจดหมายที่ถูกลบ อย่างไรก็ตาม คุณสามารถใช้ Windows PowerShell หากคุณต้องการ ตัวเลือกของคุณมีดังนี้

ก่อนที่จะเริ่มต้น

  • เมื่อต้องการเรียนรู้วิธีติดตั้งและกำหนดค่า Windows PowerShell และเชื่อมต่อกับบริการ โปรดดูที่ การใช้ Windows PowerShell
  • คุณสามารถใช้ Get-RemovedMailbox cmdlet เพื่อดูกล่องจดหมายที่สามารถกู้คืนได้ในองค์กรของคุณ ถ้ากล่องจดหมายที่ถูกลบไม่ปรากฏในรายการ กล่องจดหมายนั้นจะไม่สามารถกู้คืนได้ ถ้า Get-RemovedMailbox แสดงกล่องจดหมายที่ถูกลบมากกว่าหนึ่งกล่องสำหรับผู้ใช้ ให้ระบุกล่องจดหมายที่ถูกลบที่ถูกต้องในผลลัพธ์ และใช้ค่า SAMAccountName หรือ GUID ของกล่องจดหมายที่ถูกลบเพื่อระบุกล่องจดหมายที่ถูกลบโดยใช้พารามิเตอร์ RemovedMailbox
  • เมื่อกล่องจดหมายถูกลบ คุณสมบัติกล่องจดหมายต่อไปนี้จะไม่ได้รับการแก้ไข เพื่อให้คุณสามารถใช้คุณสมบัติเหล่านี้ในการระบุกล่องจดหมายที่ถูกลบ
    • Name   โปรดสังเกตว่า Name และ DisplayName คือคุณสมบัติกล่องจดหมายที่แตกต่างกันซึ่งอาจมีค่าเดียวกันหรือค่าอาจแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
    • WindowsLiveID สำหรับองค์กร Live@edu
    • MicrosoftOnlineServicesID สำหรับองค์กร Microsoft Office 365
    • SAMAccountName
    • Guid

การกู้คืนกล่องจดหมายที่ถูกลบ และสร้าง Windows Live ID ใหม่ใน Live@edu

กระบวนการนี้ใช้ไวยากรณ์เดียวกับกระบวนการก่อนหน้าที่กู้คืนกล่องจดหมายที่ถูกลบที่มี Windows Live ID เดิมและรหัสผ่านใหม่ อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องการสร้าง Windows Live ID ใหม่สำหรับกล่องจดหมายที่กู้คืน คุณต้องระบุ Windows Live ID ที่แตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง
ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณลบกล่องจดหมายสำหรับผู้ใช้ที่ชื่อ Ayla Kol ซึ่งมี Windows Live ID คือ akol@contoso.edu เมื่อต้องการกู้คืนกล่องจดหมายและสร้าง Windows Live ID ใหม่โดยใช้ชื่อว่า aylakol@contoso.edu ที่มีรหัสผ่าน Pa$$word1 ให้เรียกใช้คำสั่งต่อไปนี้:
 
New-Mailbox -Name "Ayla Kol" -RemovedMailbox "Ayla Kol" -WindowsLiveID aylakol@contoso.edu -Password (ConvertTo-SecureString -String 'Pa$$word1' -AsPlainText -Force)

บทที่ 5 เครือข่ายใยแมงมุม

เครือข่ายใยแมงมุม หรือ WWW (World Wide Web)
หรือเรียกสั้น ๆ ว่า "เว็บ"

                เวิลด์ ไวด์ เว็บ เป็นบริการหนึ่งที่อยู่บนระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การพัฒนาของเครือข่าย
ใยแมงมุม ได้ดำเนินไปอย่างรวดเร็วและก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีด้านมัลติมีเดีย
ทำให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ทวีความมหัศจรรย์ให้กับการศึกษาในโลกไร้พรมแดน และกลายเป็นแหล่งทรัพยากร
ของกระบวนการเรียนการสอนที่สนองต่อกระบวนการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดียิ่ง
                เมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้มีผู้สนใจใช้งานอินเทอร์เน็ตไม่มากนัก เนื่องจากการใช้บริการ อินเทอร์เน็ต
ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาข่าวสารข้อมูล การรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ การสำเนา แฟ้มข้อมูล ฯลฯ จะอยู่ในรูปแบบ
ของตัวอักษร (Text Mode)เท่านั้น ไม่มีการแสดงที่เป็นรูปภาพ เสียง ภาพยนตร์ และไม่มีอักษรแบบต่าง ๆ ปรากฎ
ให้เห็นแต่อย่างใด นอกจากนี้ผู้ใช้จะต้องเรียนรู้การใช้คำสั่งคอมพิวเตอร์มากมาย เช่น ต้องเรียนรู้คำสั่งเบื้องต้น
ของยูนิกซ์ (UNIX) เนื่องจากเมื่อจะมีการเรียกใช้งานอินเทอร์เน็ต เครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ จะอยู่ภายใต้ระบบ
ปฏิบัติการยูนิกซ์ ดังนั้นผู้ใช้จึงต้องเรียนรู้คำสั่งเบื้องต้นของยูนิกซ์ เพื่อทำการป้อนคำสั่งที่เป็นตัวอักษรด้วยตัวเอง
                จนกระทั่งมีบริการที่เรียกว่า World Wide Web (WWW) หรือ เครือข่ายใยแมงมุมเกิดขึ้นทำให้
ความนิยมการใช้อินเทอร์เน็ตสูงขึ้น เนื่องจาก WWW เป็นบริการหนึ่งที่อยู่ในอินเทอร์เน็ต ที่ใช้งานได้ง่าย สะดวก
ผู้ใช้ไม่ต้องจำคำสั่งของยูนิกซ์อีกต่อไป การอ่านและค้นหาข้อมูลสามารถกระทำได้เพียงแต่กดปุ่มเมาส์เพียงอย่างเดียว
เท่านั้น
                การที่จะใช้บริการ WWW ได้นั้นจำเป็นจะต้อง มีส่วนประกอบ 2 ส่วน ดังนี้
                1. แหล่งข้อมูล หรือเว็บไซต์ (Web Site)
              2.
โปรแกรมเว็บบราวเซอร์ (Web Browser)

แหล่งข้อมูล หรือ เว็บไซต์
           
คือระบบคอมพิวเตอร์ที่เป็นแหล่งเก็บเว็บเพจ ที่ผู้ใช้บริการสามารถเรียกดูเว็บเพจที่ เก็บอยู่ใน
เว็บไซต์นั้นได้ ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็นเว็บไซต์อาจจะใช้ระบบปฏิบัติ
  
                 เว็บเพจเป็นเอกสารแบบไฮเปอร์เท็ก (Hypertext document) เก็บอยู่ที่เว็บไซต์ต่าง ๆ
ในรูปของแฟ้ม ข้อมูลที่มักจะสร้างขึ้นด้
การ ยูนิกซ์ (UNIX) หรือ
วินโดวส์เอนที (Windows NT) ก็ได้ ผู้เป็นเจ้าขอเว็บไซต์จะจัดสร้างเว็บเพจ ของตนเก็บไว้ที่เว็บไซต์เพื่อให้
ผู้ใช้คนอื่นทั่วโลก สามารถเข้ามาดูเว็บเพจที่เก็บไว้ในเว็บไซต์นั้นได้ เช่นเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
จะเก็บอยู่ที่เว็บไซต์
http://ww.swu.ac.th   เขียนด้วย
ภาษา HTML (Hypertext Markup Language)
โดยมีนามสกุลเป็น htm หรือ html
โปรแกรมเว็บบราวเซอร์ (Web Browser)                    เป็นโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่ใช้ ในการเข้าสู่ WWW และเปิดดูเว็บเพจ ผู้ใช้สามารถเรียกข้อมูลนั้น
ขึ้นมาแสดง ได้โดยใช้โปรแกรม ประเภท Web Browser เช่น Netscape หรือ Internet Explorer
เว็บเพจที่เป็นหน้าแรก ของเว็บเพจ นิยมเรียกกันว่า "โฮมเพจ" (Home Page)
                การเข้าถึงเว็บเพจใดๆ นั้นผู้ใช้จะต้องทราบตำแหน่งที่อยู่ของเพจนั้น ๆ บนเว็บเสียก่อน
ตำแหน่งที่อยู่ เหล่านี้ เรียกว่า URL (Uniform Resource Locators) ตัวอย่างของ URL ได้แก่
http://www.swu.ac.th        URL ที่เป็นโฮมเพจของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
http://www.tv5.co.th         URL ที่เป็นโฮมเพจของสถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง5
http://www.nectec.or.th     URL ที่เป็นโฮมเพจของ NECTEC
http://www.yahoo.com      URL ที่เป็นโฮมเพจของ Yahoo
http://www.srithai.com      URL ที่เป็นโฮมเพจของ  Srithai
http://www.geocities.com/TheTropics/Paradise/2703    URL โฮมเพจฟรีของ Geocities

หมายเลขประจำเครื่อง (Ip Address)

หมายเลขประจำเครื่อง ( IP address)
         หมายเลขประจำเครื่อง  หรือที่อยู่(address) ของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตแต่ละคน จะมีที่อยู่ประจำเครื่อง ซึ่งกำหนดเป็นตัวเลขระบุตำแหน่ง เช่น 202.44.202.22 เป็นต้น แต่ระบบตัวเลขนี้จะสามารถจดจำได้ยาก และไม่สื่อความหมายต่อผู้ใช้ ดังนั้นจึงมีผู้คิดค้นระบบตั้งชื่อที่ง่ายต่อการจดจำและสื่อให้เข้ากับงานเรียกว่า
DNS(Domain Name System) 
โดยเรียงลำดับความสำคัญ ของชื่อจากขวาไปซ้าย เช่น
1202.244.3202.422
1www.2tu.3ac.4th
1. www มาจาก World Wide Web
2.  tu มาจาก Thammasat University
3.  ac มาจาก Academic (ด้านวิชาการ)
4. th มาจาก thailand (ชื่แประเทศ)
หลักในการตั้ง DNS มีหลักการดังนี้
  • ชื่อทางขวาสุดจะบอกชื่อประเทศ เช่น th-ประเทศไทย ,uk-ประเทศอังกฤษ , ca-ประเทศแคนาดา
  • ลำดับถัดจากชื่อประเทศเป็นลักษณะการดำเนินงานขององค์กร คือcom = Commercial =  ใช้ในกิจการธุรกิจการค้า บริษัท ห้างร้าน
    edu = Education     =  ใช้ในสถาบันการศึกษา
    gov = Government =   ใช้ในหน่วยงานราชการ
  • ลำดับถัดมาจากขวา เช่น
            ac   = Academic        =   สถาบันการศึกษา
            co   = Commercial     =   องศ์กรภาคเอกชน
            go   = Government    =   หน่วยงานราชการ
            or    = Organization    =   องศ์กรรัฐวิสาหกิจ
            net  = Network            =  องศ์กรที่ให้บริการระบบเครือข่าย

โดเมนเนม (Domain Name)

ชื่อโดเมน หรือ โดเมนเนม (อังกฤษ: domain name) หมายถึง ชื่อที่ใช้ระบุลงในคอมพิวเตอร์ (เช่น เป็นส่วนหนึ่งของที่อยู่เว็บไซต์ หรืออีเมลแอดเดรส) เพื่อไปค้นหาในระบบ โดเมนเนมซีสเทม เพื่อระบุถึง ไอพีแอดเดรส ของชื่อนั้นๆ เป็นชื่อที่ผู้จดทะเบียนระบุให้กับผู้ใช้เพื่อเข้ามายังเว็บไซต์ของตน บางครั้งเราอาจจะใช้ "ที่อยู่เว็บไซต์" แทนก็ได้
โดเมนเนม หรือ ชื่อโดเมน เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ เนื่องจากไอพีแอดเดรสนั้นจดจำได้ยากกว่า และเมื่อการเปลี่ยนแปลงไอพีแอดเดรส ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรับรู้หรือจดจำไอพีแอดเดรสใหม่ ยังคงใช้โดเมนเนมเดิมได้ต่อไป
อักขระที่จะใช้ในการตั้งชื่อโดเมนเนม ได้แก่ ตัวอักษรภาษาอังกฤษ ตัวเลข และ "-" (ยัติภังค์) คั่นด้วย "." (มหัพภาค) โดยปกติ จะขึ้นต้นด้วยตัวอักษร และลงท้ายด้วยตัวอักษรหรือตัวเลข มีความยาวตั้งแต่ 1 ถึง 63 ตัวอักษร ตัวอักษรตัวใหญ่ A - Z หรือตัวอักษรตัวเล็ก ถือว่าเหมือนกัน
1 ไอพีแอดเดรส สามารถใช้โดเมนเนมได้มากกว่า 1 โดเมนเนม และหลายๆ โดเมนเนมอาจจะใช้ไอพีแอดเดรสเดียวกันได้

แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
  • การจดทะเบียนโดเมนต่างประเทศ
  • การจดทะเบียนโดเมนภายในประเทศ

 การจดทะเบียนโดเมนต่างประเทศ

  1. .com ใช้ทำเว็บไซต์ของบริษัท ห้างร้านโดยทั่วไป รวมทั้งเว็บไซต์ส่วนตัว และมีบางครั้งนำไปใช้ทำเว็บไซต์ (web site) ประเภทอื่นๆ ด้วย
  2. .net ใช้ทำเว็บไซต์เกี่ยวกับระบบเน็ตเวิร์ค (network) ของคอมพิวเตอร์ หรือเว็บไซต์บริการอินเทอร์เน็ต แต่บางครั้งก็นำไปใช้ด้านอื่นด้วย
  3. .org ใช้ทำเว็บไซต์ของส่วนราชการ บางครั้งก็มีการจดทะเบียนนำไปใช้กับเว็บไซต์ประเภทอื่นด้วย
หลักที่ใช้ในการตั้งชื่อโดเมน

  1. ความยาวของชื่อ Domain ตั้งได้ไม่เกิน 63 ตัวอักษร
  2. สามารถใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษผสมกับตัวเลข หรือเครื่องหมายขีด (-) ได้
  3. ตัวอักษรภาษาอังกฤษ ใช้ตัวเล็กหรือตัวใหญ่ก็ได้
  4. ห้ามใช้เครื่องหมายขีด (-) นำหน้าชื่อ domain
  5. ห้ามเว้นวรรคในชื่อโดเมน

รหัสสืบค้นแหล่งข้อมูล

รหัสสืบค้นแหล่งข้อมูล
 โปรแกรมสืบค้นหาข้อมูล

            ในการสืบค้นข้อมูลนั้นจำเป็นจะต้องมีโปรแกรมที่ช่วยในการค้นหาแฟ้มข้อมูล  ซึ่งมีอยู่หลายประเภท  ได้แก่           
1.  โปรแกรมอาร์คี (Archie)  เป็นโปรแกรมที่ช่วยในการค้นหาแฟ้มข้อมูลที่เราทราบชื่อ  แต่ไม่ทราบตำแหน่ง ที่อยู่ของแฟ้มข้อมูล  ว่าอยู่ในเครื่องบริการใดๆ ในอินเตอร์เน็ต  โดยโปรแกรมอาร์คีนั้นจะสร้างบัตรรายการแฟ้มไว้ใน ฐานข้อมูล  ซึ่งหากเราต้องการค้นหาตำแหน่งของแฟ้มข้อมูลก็เปิดโปรแกรมอาร์คีนี้ขึ้นมาล้วให้พิมพ์ชื่อแฟ้มข้อมูล ที่ต้องการลงไป  โดยโปรแกรมอาร์คีจะตรวจค้นฐานข้อมูลให้ปรากฏชื่อแฟ้ม และ รายชื่อเครื่องบริการที่เก็บแฟ้มนั้นขึ้นมา ซึ่งหลังจากทราบชื่อเครื่องบริการแล้วเราก็จะสามารถใช้ FTP ถ่ายโอนเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ของเราไ้้ด้

         2.  โปรแกรมโกเฟอร์ (Gopher) เป็นโปรแกรมค้นหาข้อมูล  ซึ่งใช้บริการด้วยระบบเมนูโปรแกรมโกเฟอร์ เป็นโปรแกรม ที่มีรายการเลือก  เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้งานในการค้นหาข้อมูล
การใช้งาน โปรแกรมนี้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทราบ รายละเอียดของคอมพิวเตอร์ที่ เชื่อมโยงอยู่กับอินเตอร์เน็ตใดๆ เลย  เราแค่เพียงเลือกรายการที่ต้องการในรายการเลือก และกดปุ่ม <Enter> ซึ่งเมื่อมีข้อมูลแสดงขึ้นมาแล้ว เราก็สามารถอ่านข้อมูลนั้น และบันทึกเก็บไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ได้


         3.  โปรแกรม Veronica เป็นโปรแกรมค้นหาข้อมูลที่ได้รับการพัฒนามาจากโปรแกรมโกเฟอร์  โดยการค้นหาข้อมูล  จะทำได้โดยไม่ต้องผ่านระบบเมนู  เพียงแค่พิมพ์คำสำคัญ  หรือ  ให้ระบบได้ทำการค้นหาข้อมูล ที่เกี่ยวข้องกับ Keyword
         4.  โปรแกรมเวส (Wide Area Information Server-WAIS)  เป็นโปรแกรมที่เป็น
เครื่องมือในการสืบค้นข้อมูล โดยทำการค้นหาจากเนื้อหาของข้อมูล  ซึ่งการใช้งา้นต้องระบุ
ุชื่อเรื่อง  หรือชื่อของคำหลักที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของข้อมูล ที่ต้องการ  ซึ่งโปรแกรมเวสจะช่วยค้นหาไปยังแหล่งข้อมูลที่เชื่อมต่ออยู่ภายในอินเตอร์เน็ต

         5. โปรแกรม Search Engines เป็นโปรแกรมค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน  โดยให้พิมพ์คำ  หรือข้อความที่เป็น Keyword จากนั้นโปรแกรม Search
Engines จะแสดงรายชื่อของแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่ี่เกี่ยวข้องขึ้นมาให้เราได้เลือกคลิกที่รายชื่อของแหล่งข้อมูลนั้น  เพื่อเลือกข้อมูลที่ต้องการได้  ซึ่งการจัดการแหล่งข้อมูลเหล่านั้นโปรแกรม Search Engines จะจัดไว้เป็นเมนู  โดยเริ่มจากข้อมูลในหมวดใหญ่ๆ ไปจนถึงข้อมูลในหมวดย่อยๆ   

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

การเชื่อมโยงข้อมูล (link)

การเชื่อมโยงข้อมูล (link)
จากการที่อินเทอร์เน็ตได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางอยู่ทั่วโลกนั่น เป็นผลมาจากความสามารถในการเชื่อมโยงข้อมูล (link) จากข้อมูลหนึ่งไปยังอีกข้อมูลหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว โดยสามารถเชื่อมโยงข้อความได้ทั้งจากภายในแฟ้มเอกสารข้อมูลของภายใน และแฟ้มเอกสารข้อมูลภายนอก
ข้อความที่ใช้เป็นตัวเชื่อมโยงข้อมูลนั้น จะมีตัวอักษรเป็นสีน้ำเงิน (หรือสีอื่นตามแต่ที่ผู้สร้างกำหนดขึ้นมา) เมื่อเลื่อนเมาส์ไปชี้ที่ข้อความซึ่งมีการเชื่อมโยง รูปแบบของตัวชี้จะเปลี่ยนจาก สัญลักษณ์ลูกศรไปเป็นรูปมือแทน
ประเภทของการเชื่อมโยง ใน HTML แบ่งการเชื่อมโยงออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
  • การเชื่อมโยงภายในเว็บไซต์
  • การเชื่อมโยงนอกเว็บไซต์
ตำแหน่งสำหรับคลิกเพื่อทำการเชื่อมโยงข้อมูล จะเรียกว่าจุดเชื่อมโยง หรือจุด Link ซึ่งใช้ได้ทั้งตัวอักษร ข้อความ หรือรูปภาพ
คำสั่งที่ใช้เชื่อมโยงข้อมูล คือ
    <a href=" ชื่อไฟล์ หรือ URL" >ข้อความหรือรูปภาพที่จุด Link</a>
       Attribute ที่ใช้ร่วมกับการสร้าง Link ซึ่งจะต้องนำมาวางต่อจากคำสั่งสร้าง link และใช้คำสั่ง target= คุณสมบัติด้านล่าง เช่น
     <a href=" ชื่อไฟล์" target=_blank>ข้อความหรือรูปภาพที่จุด Link</a>

    _blank   = เปิดหน้าเอกสารใหม่โดยที่หน้าเดิมยังคงอยู่
    _self      = เปิดหน้าใหม่โดยที่หน้าเดิมเปลี่ยนไปบางส่วน หากว่าใช้กับ เฟรม
    _parent = เปิดหน้าใหม่โดยที่หน้าเดิมเปลี่ยนไป
    _top      = เปิด file ที่หน้าเดิมโดยจะไปด้านบนสุดของหน้าเว็บเพจ

บทที่4 การใช้งานเว็บบราว์เซอร์

การเริ่มต้นใช้งาน Internet Explorer 9

Windows Internet Explorer 9 มีรูปลักษณ์ที่ทันสมัยและมีคุณลักษณะใหม่ๆ จำนวนมากที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรียกดูเว็บของคุณได้อย่างสูงสุด
ดูวิดีโอนี้เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เปลี่ยนไปใน Internet Explorer 9 (2:25)
Get Microsoft Silverlight

การใช้ตัวควบคุมใหม่ของเบราว์เซอร์

สิ่งแรกที่คุณจะสังเกตเห็นได้เมื่อเปิด Internet Explorer 9 ก็คือการออกแบบที่ดูเรียบง่าย คุณสามารถค้นหาฟังก์ชันของแถบคำสั่งส่วนใหญ่ เช่น พิมพ์ หรือ ย่อ/ขยาย เมื่อคุณคลิกปุ่ม 'เครื่องมือ' รูปภาพของปุ่ม 'เครื่องมือ' และรายการโปรดรวมถึงเนื้อหาสรุปของคุณจะปรากฏขึ้นใน 'ศูนย์กลางรายการโปรด' เมื่อคุณคลิกปุ่ม 'รายการโปรด' รูปภาพของปุ่ม 'รายการโปรด'
รูปภาพของ 'ศูนย์กลางรายการโปรด'ศูนย์กลางรายการโปรด
แท็บจะปรากฏทางด้านขวาของแถบที่อยู่โดยอัตโนมัติ แต่คุณสามารถย้ายแท็บเหล่านั้นให้ไปปรากฏที่ด้านล่างของแถบที่อยู่ได้ในลักษณะเดียวกับรุ่นก่อนหน้านี้ของ Internet Explorer คุณสามารถแสดงแถบรายการโปรด แถบคำสั่ง แถบสถานะ และแถบเมนูได้ทุกเมื่อด้วยการคลิกขวาที่ปุ่ม 'เครื่องมือ' รูปภาพของปุ่ม 'เครื่องมือ' แล้วทำการเลือกบนเมนู
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวควบคุมพื้นฐาน ให้ดูที่

การตรึงไซต์กับแถบงาน

คุณสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ที่คุณเข้าเยี่ยมชมเป็นประจำได้ด้วยการตรึงเว็บไซต์เหล่านั้นไว้กับแถบงานบนเดสก์ท็อป Windows 7 ของคุณ
รูปภาพของไซต์ที่ตรึงไซต์ที่ตรึง
การตรึงไซต์สามารถทำได้โดยง่าย ดังนี้ เพียงแค่ลากแท็บของไซต์นั้นไปยังแถบงานซึ่งไอคอนของเว็บไซต์จะยังคงอยู่จนกว่าคุณจะเอาออก เมื่อคุณคลิกไอคอนนั้นในภายหลัง เว็บไซต์ดังกล่าวก็จะเปิดขึ้นใน Internet Explorer
เมื่อใดก็ตามที่คุณเปิดไซต์ที่ตรึงไว้ ไอคอนเว็บไซต์จะปรากฏที่ด้านบนของเบราว์เซอร์ เพื่อให้คุณสามารถเข้าถึงเว็บเพจดั้งเดิมที่คุณตรึงไว้ได้อย่างง่ายดาย ปุ่ม 'ย้อนกลับ' และ 'ไปข้างหน้า' จะเปลี่ยนสีให้ตรงกับสีของไอคอน
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเพิ่มและการเอาไซต์ที่ตรึงไว้ออก ให้ดูที่ การตรึงเว็บไซต์กับแถบงานของคุณ

การค้นหาในแถบที่อยู่

ในตอนนี้ คุณสามารถค้นหาได้โดยตรงจากแถบที่อยู่แล้ว ถ้าคุณป้อนที่อยู่ของเว็บไซต์ คุณจะไปที่เว็บไซต์นั้นได้ในทันที ถ้าคุณป้อนคำที่ใช้ค้นหาหรือที่อยู่ที่ไม่สมบูรณ์ คุณจะเปิดใช้งานการค้นหาโดยใช้โปรแกรมค้นหาที่เลือกไว้ในปัจจุบัน คลิกแถบที่อยู่เพื่อเลือกโปรแกรมค้นหาจากไอคอนที่แสดงอยู่หรือเพื่อเพิ่มโปรแกรมค้นหาใหม่
รูปภาพของการค้นหาในแถบที่อยู่การค้นหาในแถบที่อยู่
เมื่อคุณค้นหาจากแถบที่อยู่ คุณจะมีตัวเลือกของการเปิดเพจผลลัพธ์การค้นหาหรือผลลัพธ์การค้นหายอดนิยม (ถ้าผู้ให้บริการการค้นหาที่คุณเลือกสนับสนุนคุณลักษณะดังกล่าว) คุณยังสามารถเปิดใช้งานข้อเสนอแนะการค้นหาที่เป็นตัวเลือกเพิ่มเติมในแถบที่อยู่ได้ด้วย
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการค้นหาในแถบที่อยู่ ให้ดูที่ การค้นหาในแถบที่อยู่ของ Internet Explorer 9

การใช้ 'ตัวจัดการดาวน์โหลด'

'ตัวจัดการดาวน์โหลด' จะเก็บรายการแฟ้มที่คุณดาวน์โหลดไว้และแจ้งให้คุณทราบในกรณีที่แฟ้มนั้นอาจเป็นมัลแวร์ (ซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตราย) นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณสามารถหยุดการดาวน์โหลดไว้ชั่วคราวหรือเริ่มใหม่ได้ และแสดงตำแหน่งที่คุณจะสามารถพบแฟ้มที่ดาวน์โหลดนั้นได้ในคอมพิวเตอร์ของคุณด้วย
รูปภาพของ 'ตัวจัดการดาวน์โหลด'ตัวจัดการดาวน์โหลด
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ 'ตัวจัดการดาวน์โหลด' ให้ดูที่ การใช้ 'ตัวจัดการดาวน์โหลด' ใน Internet Explorer

การทำงานกับแท็บ

คุณสามารถเปิดแท็บได้ด้วยการคลิกปุ่ม 'แท็บใหม่' ทางด้านขวาสุดของแท็บที่เปิดไว้ล่าสุด ใช้การเรียกดูแบบแท็บเพื่อเปิดเว็บเพจจำนวนมากในหน้าต่างเดียว เมื่อต้องการดูเพจแบบแท็บจำนวนสองเพจในเวลาเดียวกัน ให้คลิกที่แท็บ แล้วลากแท็บนั้นออกไปนอกหน้าต่าง Internet Explorer เพื่อเปิดเว็บเพจของแท็บนั้นในหน้าต่างใหม่
รูปภาพของเพจแท็บใหม่เพจแท็บใหม่
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแท็บและเพจแท็บใหม่ ให้ดูที่ การใช้เพจแท็บใหม่

การป้องกันข้อมูลของคุณขณะเรียกดูไซต์

Internet Explorer 9 นำเสนอคุณลักษณะ 'การป้องกันการติดตาม' และ 'การกรอง ActiveX' เพื่อรักษาความปลอดภัยและป้องกันความเป็นส่วนตัวให้กับข้อมูลของคุณขณะที่กำลังเรียกดูเว็บไซต์
  • ใช้ 'การป้องกันการติดตาม' เพื่อจำกัดการติดต่อสื่อสารระหว่างเบราว์เซอร์กับเว็บไซต์บางแห่งที่ถูกกำหนดไว้ใน 'รายการป้องกันการติดตาม' เพื่อช่วยในการเก็บข้อมูลของคุณให้เป็นแบบส่วนตัว รายการป้องกันการติดตามสามารถสร้างขึ้นโดยบุคคลใดก็ได้ และรายการเหล่านั้นก็จะพร้อมใช้งานในแบบออนไลน์
  • ActiveX เป็นเทคโนโลยีที่นักพัฒนาเว็บใช้ในการสร้างเนื้อหาแบบโต้ตอบบนไซต์ของตน แต่สิ่งนี้อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยได้ คุณสามารถใช้ Internet Explorer 9 เพื่อบล็อกตัวควบคุม ActiveX ของไซต์ทั้งหมด และเปิดใช้งานตัวควบคุมเหล่านั้นกลับคืนเฉพาะกับไซต์ที่คุณไว้ใจเท่านั้นได้
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณลักษณะความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ให้ดูที่

ข้อมูลที่ไม่ได้ทำให้คุณทำงานช้าลง

แถบแจ้งเตือนใหม่ซึ่งปรากฏที่ด้านล่างสุดของ Internet Explorer จะให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสถานะเมื่อคุณต้องการ แต่ไม่ได้บังคับให้คุณต้องคลิกชุดข้อความเพื่อให้ทำการเรียกดูต่อไป
รูปภาพของแถบแจ้งเตือนแถบแจ้งเตือน
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแถบแจ้งเตือน ให้ดูที่ Internet Explorer แถบแจ้งเตือน: คำถามที่ถามบ่อย

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การปรับแต่งโปรแกรม internet explorer

                         การท่องอินเทอร์เนตในปัจจุบัน โปรแกรมหลักที่เครื่องคอมพิวเตอร์จำเป็นจะต้องมีก็คือ โปรแกรมประเภทบราวเซอร์ เพื่อใช้เรียกเว็บเพจจากเว็บไซต์ต่างๆ ขึ้นมาแสดงบนหน้าจอ ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลากหลายชนิดไม่ว่าจะเป็น Internet Explorer, Netscape, Mozilla ฯลฯ โดยที่ฮิตที่สุดคงหนีไม่พ้น Internet Explorer หรือที่เราเรียกกันว่า IE เนื่องจากเป็นบราวเซอร์ที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows ตั้งแต่เวอร์ชันเก่าจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น windows XP หรือ Windows 2003 ก็จะมีบราวเซอร์ IE ติดมาด้วย

การท่องอินเทอร์เนตในปัจจุบัน โปรแกรมหลักที่เครื่องคอมพิวเตอร์จำเป็นจะต้องมีก็คือ โปรแกรมประเภทบราวเซอร์ เพื่อใช้เรียกเว็บเพจจากเว็บไซต์ต่างๆ ขึ้นมาแสดงบนหน้าจอ ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลากหลายชนิดไม่ว่าจะเป็น Internet Explorer, Netscape, Mozilla ฯลฯ โดยที่ฮิตที่สุดคงหนีไม่พ้น Internet Explorer หรือที่เราเรียกกันว่า IE เนื่องจากเป็นบราวเซอร์ที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows ตั้งแต่เวอร์ชันเก่าจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น windows XP หรือ Windows 2003 ก็จะมีบราวเซอร์ IE ติดมาด้วย ปัจจุบันได้มีการพัฒนามาและอัพเกรดขึ้นมาหลายเวอร์ชัน ล่าสุดก็คือ เวอร์ชัน 6 ที่ยังมีช่องโหว่ต่างๆ มากมาย ที่ยังคงมีการพัฒนามาเรื่อยๆ เป็น 6.1 ~ 6.2

แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นก็ยังไม่อาจทำได้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้หลายๆ คน ซึ่งการปรับแต่งนั้นอาจทำได้เพียงแค่โหลด Skin เข้ามาตกแต่งให้มีสีสันมากขึ้น หน้าตาเปลี่ยนไปบ้าง และถ้าอยากจะทำอะไรที่นอกเหนือจากนั้น คุณอาจจะต้องใช้เครื่องมือจำพวก Tweak เพื่อมาปรับแต่ง แต่คอลัมน์ Internet Tips ฉบับนี้เราได้เตรียมวิธีที่จะช่วยให้คุณสามารถ แก้ไข และปรับแต่ง IE โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยโปรแกรมจากภายนอกมาช่วยเลย ซึ่งอาศัยเพียงเทคนิคการแก้ไข registry ที่จะยกมา 12 วิธี ด้วยกัน ดังนี้

1. วิธีการซ่อนไอคอน IE บนหน้าต่างเดสก์ทอป

การแก้ไข Registry เพื่อซ่อนไอคอน IE
โดยปกติแล้วบนหน้าจอวินโดวส์จะมีไอคอนดีฟอลต์อยู่ ซึ่งจะไม่สามารถทำการ Delete ออกไปได้ วิธีการคือ ให้เปิดหน้าต่าง Registry แล้วทำการแก้ไขพาร์ท ของ User Key และ System Key โดยสร้าง DWORD value หรือแก้ไขค่าเดิมที่มีอยู่แล้ว ชื่อ "NoInternetIcon" แล้วเซตค่าภายในให้มี ค่าเป็น 1 เพื่อยกเลิกการทำงาน

การตั้งค่าของ Registry
User Key: [HKEY_CURRENT_USERSoftwareMicrosoftWindowsCurrentVersionPolicies Explorer]
System Key: [HKEY_LOCAL_MACHINESoftwareMicrosoftWindowsCurrentVersionPolicies Explorer]
Value Name: NoInternetIcon
Data Type: REG_DWORD (DWORD Value)
Value Data: (0 = disabled, 1 = enabled) ให้ใส่เลข 1 เข้าไป

Note: ไอคอน IE บนเดสก์ทอปจะหายไป แต่ยังสามารถสร้าง Short cut ขึ้นมาแทนใหม่ได้ถ้าต้องการ

2. วิธีการซ่อนโฟลเดอร์ Links จากเมนู Favorite

การแก้ registry เพื่อลบโฟลเดอร์ Favorite
Favorite มีไว้สำหรับเก็บลิงค์เว็บไซต์ต่างๆ ที่คุณชอบเข้าไป ซึ่งจะมีโฟลเดอร์อยู่ตัวหนึ่งที่ต่อให้ลบโฟลเดอร์นี้ไปแล้ว เมื่อเปิด IE ขึ้นมาใหม่ วินโดวส์จะสร้างโฟลเดอร์นี้ขึ้นมาอีก และวิธีที่จะลบโฟลเดอร์ Links ออกอย่างถาวรนั้น ให้ไปที่พาร์ทของ Userkey ในช่อง "LinksFolderName" โดยปล่อยให้เป็นค่าว่าง ๆ เอาไว้ เมื่อลบแล้วเปิด IE ขึ้นมาอีกครั้ง ก็จะไม่ปรากฏโฟลเดอร์ Links ให้เห็นอีกเลย

การตั้งค่าของ Registry
User Key: [HKEY_CURRENT_USERSoftwareMicrosoftInternet ExplorerToolbar]
Value Name: LinksFolderName
Data Type: REG_SZ (String Value)

Note:วิธีการที่ง่ายกว่าคือสามารถเข้าไปที่ พาร์ทซึ่งเก็บเมนู Favorite เช่น C:windowsFavorite ในวินโดวส์ 9x หรือที่ C:Documents and SettingsUser_nameFavorites บนวินโดวส์ NT, 2000, xp แล้วทำการเลือกที่โฟลเดอร์ Links คลิกขวาเลือก Properties จากนั้นทำการเช็คบอกซ์ที่ค่าของ Hidden แล้วกด OK ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

3. วิธีการบล็อกไม่ให้ใช้ FTP ผ่านบราวเซอร์

การแก้ registry เพื่อบล็อกการทำงานของ FTP
การเข้าไปยังเว็บไซต์บางแห่งจะมีช่องทางให้เราสามารถดาวนด์โหลดข้อมูลผ่านโพรโตคอลจำพวก FTP ซึ่งเราสามารถปิดไม่ให้ใช้งานได้ โดยไปที่ registry พาร์ท System Key จากนั้นให้ลบค่าที่อยู่ใน String ที่ชื่อ “ftp”

การตั้งค่าของ Registry
System Key: [HKEY_LOCAL_MACHINESOFTWAREMicrosoftWindowsCurrentVersionURL Prefixes]
Value Name: ftp
Data Type: REG_SZ (String Value)
Value Data: ftp://

Note: ถ้าต้องการจะให้ทำงานอีกครั้ง ให้สร้าง String ขึ้นมาใหม่ที่ชื่อ “ftp” แล้วเซตค่าภายในให้เป็น “ftp://”

4. วิธีการซ่อนทูลบาร์ My picture ใน IE

การปรับแต่ง Registry เพื่อซ่อน Toolbar My picture
เมื่อเราเปิดรูปภาพด้วย Internet Explorer จะมีทูลบาร์ปรากฏขึ้นมา ให้คุณสามารถบันทึกภาพ พิมพ์ ส่งอีเมล์ หรือเปิดไปยังโฟลเดอร์ My picture โดยหากเราต้องการซ่อนทูลบาร์นี้ ไม่ให้ปรากฏขึ้นมาเมื่อนำเมาส์ไปชี้ที่ภาพแล้วละก็ (สามารถใช้ได้ตั้งแต่ IE 5.5 ขึ้นไป) ให้เข้าไปที่พาร์ทของ User Key จากนั้นสร้าง DWORD ให้เป็นชื่อ "MyPics_Hoverbar" แล้วใส่ค่าภายในดังรูป

การตั้งค่าของ Registry
User Key: [HKEY_CURRENT_USERSoftwarePoliciesMicrosoftInternet Explorer PhotoSupport]
Value Name: MyPics_Hoverbar
Data Type: REG_DWORD (DWORD Value)
Value Data: (0 = show bar, 1 = hide bar)

Note: หลังจากแก้ไขค่าเสร็จแล้ว เราต้อง Restart เครื่องก่อนจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ต้องการ และสามารถเข้ามาแก้ไขค่าคืนได้ตามต้องการ

วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

บทที่ 3 ท่องโลกอินเทอร์เน็ต

เครือข่ายใยแมงมุม (World Wide Web: www)

WWW (World Wide Web) หรือ เครือข่ายใยแมงมุม จะเป็นตัวช่วยให้การท่องไปในโลก    อินเทอร์เน็ตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ง่ายต่อการใช้งาน เพราะมีการแสดงผลแบบ Hypertext ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ซึ่งเมื่อเข้าใช้งาน แล้วจะทำให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเกิดความสะดวกสบายในการใช้งาน ในการใช้งาน WWW จะทำให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตมีความรู้สึกเสมือนหนึ่งว่าข้อมูลที่มีอยู่ใน ทุกมุมโลกนั้น อยู่เพียงแค่ปลายมือ ที่สามารถค้นหาได้ภายในไม่กี่นาที
เครือข่ายใยแมงมุม (World Wide Web)
ความหมายและประเภทของ Domain name
           โดเมนเนม (Domain Name) เป็น เรื่องที่เกี่ยวข้องกับระบบของอินเทอร์เน็ตดังนั้น เพื่อให้เข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโดเมนเนม  จะต้องรู้เรื่องพื้นฐานและคำศัพท์เบื้องต้นในโลกของอินเทอร์เน็ตอย่างก่อน โดยเริ่มตั้งแต่คำว่า  WWW  หรือ World Wide  Web  หรือ Web  หรือ W3  ซึ่งเปรียบได้กับห้องสมุดที่ให้ใคร ๆ   เข้ามาศึกษาค้นหาข้อมูล หรือมีข้อมูลสำหรับนำข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาวางแล้วให้ผู้ที่สนใจเข้ามา ศึกษาค้นคว้าจากห้องสมุด  WWW  ซึ่งจะแตกต่างจากห้องสมุดทั่ว ๆ  ไปตรงที่เป็นการใช้งานผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต  เป็นประมาณ  Electronics  Library  หรือ e-library  นั่นเองและที่สำคัญคือ  ทั้งโลกมีอยู่ห้องเดียว  ดังนั้น  ถ้าคุณเข้ามาหาอะไรแล้วไม่เจอ ก็ไม่ต้องเสียเวลาเข้าไปหาที่ห้องสมุดอื่น ๆ ให้อีกหาอยู่ที่  e-library ที่เดียวมีทุกอย่างที่ต้องการ  โดเมนเนม เป็นชื่อที่ขอจดทะเบียนไว้เพื่อให้เกิดความสะดวกแก่ผู้ใช้ในการเรียกใช้งาน อินเทอร์เน็ต ไม่ได้เป็นชื่อหรือตำแหน่งของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการข้อมูลบนอิน เทอร์เน็ต

ส่วนประกอบของโดเมนเนม
  โดเมนเนมจะประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลัก ๆ ดังนี้
ส่วนที่ 1 สับโดเมน (Sub Domain Name)
ส่วนที่ 2 Second – Level Domain Name
ส่วนที่ 3 Top – Level Domain
 
ความเป็นมาของโดเมนเนม (Domain Name )

         อินเทอร์เน็ต (Internet) เริ่มต้นมาจากโครงการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการศึกษาและระบบเครือข่าย ที่รู้จักกันดีในนามของโครงการ “ARPANET” ซึ่งระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้งานตรงนี้ก็คือ TCP/IP (Transmission Control Protocal/Internet Protocol) โดยใช้ระบบปฏิบัติการ IUNIX ซึ่งช่วยให้การเชื่อมโยงสื่อสารผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้รับความสนใจจากคนทั่ว โลก
        ในระยะแรก การใช้งานในอินเทอร์เน็ตไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไรนัก  เพราะเครื่องที่อยู่ใน เครือข่ายมีไม่มาก  แต่ต่อมาเมื่อมีคนสนใจและมีเครือข่ายการใช้งานที่กว้างมากขึ้น  ก็เลยทำให้เกิดความต้องการในการใช้ชื่อที่ง่ายและไม่ซับซ้อน จำง่าย แทนที่จะใช้ในลักษณะของ IP Address ซึ่งเป็นชุดตัวเลขที่ใช้อยู่   ซึ่งทำให้เกิดการศึกษาและค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องของ “Name Server” ขึ้นมาครั้งแรก ทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องรู้จัก และนี่ก็คือต้นกำเนิดของการใช้โดเมนเนมในปัจจุบันและหลังจากนั้นไม่ไม่นาน Domain Name System (DNS) ชุดแรกที่ถูกนำออกมาให้ทุกคนได้ใช้งานมีอยู่ด้วยกัน  5  แบบ โดยเราสามารถแยกความแตกต่างของโดเมนเนมได้จากตัวอักษรย่อที่ต่อจากชื่อ เช่น www.****.com หรือ www. ****.net หรือ www. ****.org  ระยะแรกนี้การจดโดเมนเนมจะทำได้โดยไม่ต้องเสียเงิน โดยมี IANA เป็นผู้ดูแล แต่ระยะหลังเมื่อทาง IANA และ NSF (National Science Foundation) ได้ร่วมกันจัดตั้ง InterNIC ขึ้นมา   เริ่มมีการคิดค่าใช้จ่ายในการ    จดทะเบียนตามมา 100 USD ใน  2  ปีแรกของระยะแรกและลดลงมาเป็น  70  USD  โดยมี ICANN หรือ  Internet Corporation for Assigned Names and Numbers  ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นมา   

ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ต (TCP/IP)

         การสื่อสารข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ หมายถึง การโอนถ่ายหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ต้นทาง กับคอมพิวเตอร์ปลายทาง โดยในการโอนถ่ายหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลนี้ จำเป็นที่จะต้องมีการอาศัยภาษากลางในการสื่อความหมายระหว่างกันเพื่อให้เกิด เป็นมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลให้การสื่อสารระหว่างกันภายในเครือข่ายได้อย่างรวมแล้วและมี ประสิทธิภาพ โดยทั่ว ๆ ไปแล้วเรียกว่า Protocol  เป็นเช่นนี้จะเห็นได้ว่า Protocol นั้นหมายถึง มาตรฐานทางด้านภาษาสื่อสารในการที่จะควบคุมการรับส่งข้อมูลระหว่างต้นทางและ ปลายทาง  สำหรับการสื่อสาร       บนอินเทอร์เน็ตนั้นได้ใช้ Protocol ที่มีชื่อว่า TCP/IP ( Transmission Control Protocol / Internet Protocol ) เป็นโปรโตคอลมาตรฐานในการสื่อสารบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต อันเกิดจากมาตราฐาน 2  แบบ คือ TCP มีหน้าที่ในการแบ่งข้อมูลออกเป็นส่วนย่อย ๆ ซึ่งเรียกว่า Packet ที่มีขนาดเล็กกว่า 1,500  ตัวอักษร  และทำหน้าที่ประกอบข้อมูลที่แบ่งย่อยออกมาเหล่านี้ในฝั่งของปลายทางที่รับ   ข้อมูล  ส่วน IP นั้น  ทำหน้าที่ในการกำหนดเส้นทางของการสื่อสารจากต้นทางไปยังปลายทาง
หลักการทำงานของ TCP/IP
           หลักการทำงานของ TCP/IP มีขั้นตอนการทำงานดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 TCP  ทำหน้าที่ในการที่แตกข้อมูลที่ต้องการออกเป็นส่วน ๆ โดยแต่ละส่วนย่อยนี้เรียกว่า Packet โดยแต่ละ Packet จะมีส่วนหัวเรียกว่า Header  ทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูล  เกี่ยวกับลำดับของแพ็กเก็ตซึ่งจะถูกนำมาใช้เพื่อประกอบข้อมูลกลับมายังฝั่ง ของผู้รับ
ขั้นตอนที่ 2    Packet แต่ละ Packet จะถูกนำส่งไปแต่ละ IP              ซึ่ง  Packet  แต่ละ Packet จะมี IP เป็นของตนเอง ภายใน IP แต่ละตัวจะถูกกำหนดที่อยู่ปลายทางของผู้รับ และผู้ส่ง โดยจะมีการกำหนดช่วงเวลาและอายุของ Packet
ขั้นตอนที่ 3   Packet  ถูกส่งออกไปบนระบบอินเทอร์เน็ตผ่านเร้าเตอร์              ( Router) ซึ่ง IP  จะถูกตรวจสอบที่อยู่ปลายทางเมื่อผ่านเร้าเตอร์แต่ละตัว   หลังจากนั้นเร้าเตอร์จะทำหน้าที่หาช่องทางในการ
ขั้นตอนที่ 4   เมื่อ Packet  เดินทางไปถึงปลายทางเรียบร้อยแล้ว TCP จะทำหน้าที่ในการตรวจสอบข้อมูลภายใน Packet อีกครั้ง ว่าครบถ้วนและถูกต้องหรือไม่  ถ้าไม่ครบหรือไม่ถูกต้องจะทำการทิ้ง Packet นั้นไปแล้วเรียกกลับไปต้นทางใหม่อีกครั้ง
ขั้นตอนที่ 5   เมื่อปลายทางนั้นได้รับ Packet ที่ถูกต้องครบทั้งหมดแล้ว TCP จะทำหน้าที่ประกอบข้อมูลให้พร้อมที่จะใช้งานต่อไป

ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail: E-mail)

ผู้ใช้บริการสามารถติดต่อรับ-ส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์หรือ E-mail กับผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วโลกกว่า 20 ล้านคน ได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีก และบริการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์นี้ก็รวดเร็วทันใจและสะดวกมาก โดย E-mail จะมีหลักการทำงานดังนี้
    • POP3 (Post Office Protocol) ซึ่งในปัจจุบันเป็น protocol มาตรฐานที่ใช้สำหรับรับ-ส่ง จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ในปัจจุบันนี้
    • SMTP (Simple Mail Transfer Protocol)
    • IMAP (Internet Message Access Protocol)
    • MIME (Multipurpose Internet Mail Extension)
      วิธีการทำงานของ POP3
      POP3 จะมีหลักหารทั่วไปคล้ายๆกับหลักการรับและส่งของระบบไปรษณีย์ในปัจจุบัน คือในทันทีที่มีจดหมายมา ส่งที่ทำการไปรษณีย์ปลายทาง (โดยทั่วไปคือ Mail server ของ ISP หรือ องค์กรต่างๆ)จดหมายฉบับนั้นก็จะค้าง อยู่ที่ๆทำการฯ ไปจนกว่าจะมีคนมาติดต่อขอรับมัน ด้วยวิธีการนี้ภาระของผู้ส่งจดหมายจะสิ้นสุกเมื่อจดหมายถึง ที่ทำการไปรษณีย์ปลายทาง(ซึ่งก็เปรียบเสมือนโฮสต์ที่ทำหน้าที่เก็บจดหมายของผู้ใช้ปลายทาง) POP3 จะเป็น Protocol แบบดึง('Pull' Protocol) เมื่อใดก็ตามที่เครื่องคอมพิวเตอร์ผู้ใช้บรอการ (Client) มีความต้องการที่จะ ตรวจสอบข้อความ มันจะทำการเชื่อมต่อไปยัง เมล เซอเวอร์ และจะใช้ POP เพื่อ Login เข้าปยังตู้รับจดหมาย (Mailbox) แล้วดึงจดหมายนั้นมาไว้ในเครื่องเราPOP จะเป็นหารบริการที่เหมาะสมสำหรับคอมพิวเตอร์ที่ต้อง การติดต่อเข้าอินเทอร์เน็ตทางโทรศัพท์ เพราะว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราจะรับ E-mail ไม่จำเป็นที่จะต้องเชื่อม ต่อกับอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา
      วิธีการทำงานของ SMTP
      วิธีการนี้เป็นวิธีที่นิยมใช้กันบน Unix ซึ่ง เป็น โปรโต้คอลที่อาศัยวิธีการส่งจดหมายเป็นทอดๆระหว่างโฮสต์ ต่อๆกัน จนกว่าจะไปถึงโฮสปลายทาง สรุปคือ วิธีการนี้เป็นวิธีเก่า ถ้าไม่เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ รับเอาไว ้ตลอดเวลาก็จะไม่สามารถรับ จดหมายได้ และในปัจจุบันเครื่อง PC ส่วนบุคคลทั้งหลายก็ไม่ได้ใช้ระบบปฏิบัติ การUNIX และระบบปฏิบัติการที่ใช้ก็ไม่รองรับไฟล์ในระบบ Unix นั่นก็หมายความว่า หากใช้เครื่อง PC ถึง จะเปิดเครื่องไว้ เครื่องนั้นก็ไม่สามารถใช้ไฟล์นั้นได้อยู่ดี ระบบนี้จึงเป็นระบบเก่าที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์เท่าใดนัก
      วิธีการทำงานของ IMAP
      เป็น Protocol ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับ POP3 แต่จะแก้ปัญหาของ POP3 ได้ดีขึ้นคือ POPจะมีวิธีการทำงานในลักษณะ "เก็บและส่งต่อ" (store-and-forward) ดังนั้นกระบวนการจัดการจดหมายต่างๆจึงยังไม่ดีมากพอ IMAP จะแตกต่าง จาก POP ในเรื่องของการตรวจสอบเมล์ ซึ่ง IMAP จะสามารถตรวจสอบเมล์ได้ 3 แบบคือ
      1.offline access คือดึงเมล์ ทั้งหมดมาเก็บไว้ที่เครื่องเราและ ลบเมล์ออกจากเครื่อง server(ซึ่ง POP3 จะตรวจสอบด้วยวิธีนี้ และการใช้โปรแกรมดึงอีเมล์ (E-mail Client ) บางตัวเราสามารถสั่งให้เก็บจดหมายที่เราอ่านแล้วไว้ที่เครื่อง server ได้
      2.Online-access อ่านเมล์แบบออนไลน์โดยใช้เครื่องเราเป็นตัวอ่านเมล์ ส่วนตัวจดหมายก็อยู่ที่ server
      3. Disconnected access คือการผสมระหว่าง 2 วิธีแรกคือ เราสามารถเลือกเมล์ที่ต้องการนำมาเก็บเครื่องเราก่อน ได้ โดยไม่ต้องดาวโหลดมาทั้งหมด ที่สำคัญเราสามารถรู้ได้ว่าเราได้มีการลบเมล์ไปเท่าไหร่แล้ว โดย IMAP จะสามารถจดจำเอาไว้ได้ว่าเราได้ลบเมล์ฉบับไหนออกไปเมื่อมีการติดต่อกับ เซอร์เวอร์ในครั้งถัดไปจำนวน เมล์ในเครื่องเรากับเครื่องเซอร์เวอร์จะถูกปรับให้เข้ากันได้โดยอัติโนมัติ(คือการทำ Synchronized) ด้วยเทคนิค นี้ทำให้เราสามารถตรวจสอบเมล์ได้จากคอมพิวเตอร์หลายๆเครื่องโดยไม่สับสน(ไม่ว่าคุณจะใช้เครื่องจากที่บ้าน ที่ทำงาน หรือ โน๊ตบุค ก็จะให้ผลเหมือนกันซึ่งจะต่างจาก POP ที่ทำให้สับสนเมื่อตรวจเมล์จากหลายๆเครื่อง) ซึ่งเราสามารถสรุปจุดเด่นของ IMAP ได้ดังนี้
      1. IMAP สามารถให้บริการในรูปแบบ remote ได้ดีกว่า (คือการควบคุมการใช้เมล์จากเครื่องเราไปยัง Server ) เช่น อ่านเมล์แบบออนไลน์ แยกเมล์กับส่วนประกอบเอกสาร (Attachment)ออกจากกันได้ เราสามารถเลือกดาว โหลดจดหมายมาเก็บไว้เครื่องเรา โดยทิ้งส่วนประกอบเอกสารไว้ที่ Server เพื่อดาวโหลดในภายหลังหรือยามว่าง
      2. IMAP สนับสนุนโฟลเดอร์แบบลำดับชั้นและสามารถแบ่งโฟลเดอร์ให้ใช้งานร่วมกันได้(folder hierarchies and folder sharing) ในขณะที่ POP ไม่สามรถทำได้
      3. IMAP อนุญาตให้ทำการค้นหาจดหมายหรือบางส่วนของจดหมาย รวมทั้งเลือกจดหมายที่ต้องการจะนำมาเก็บ ไว้ที่เครื่องเราได้ (การค้นหานี้จะทำโดย server ไม่ใช่ Client) แต่ถึงยังไงก็แล้วแต่ IMAP protocol ก็ยังไม่ได้รับความนิยมในปัจจุบันโดยนักเล่นอินเทอร์เน็ตทั้งหลายยังคงใช้ POP กันอยู่เนื่องจากสาเหตุหลายประการ ดังนี้
      1. POP3 นั้นได้ติดตั้งอยู่ในโปรแกรมชิอดังที่มีความสามารถลูกเล่นแปลกใหม่ที่ได้รับความนิยมของ user ทั่ว ไปในขณะที่ IMAP นั้นยังไม่ค่อยมีโปรแกรมที่พัฒนามากนัก
      2. การใช้ IMAP นั้น จะต้องใช้ทรัพยากรของเครื่อง Server มากขึ้นทำให้เครื่องที่เป็น server ต้องทำงานหนักขึ้น อย่างมากจึงต้องเสียค่าบริการราคาแพง แต่ POP นั้นมีให้บริการฟรีทั่วไปในโลก Cyber space
      3. IMAP นั้นจะต้องใช้เวลาในการติดต่อนานกว่า เนื่องจากมีกิจกรรมที่จะต้องส่งข้อมูลระหว่าง Client กับ server เพื่อปรับเปลี่ยนข้อมูลให้ตรงกันซึ่งต่างกับ POP คือดึงข้อมูลมาแล้วก็หมดหน้าที่
      วิธีการทำงานของ MIME
      เนื่องจากอีเมล์สมัยแรกที่เริ่มต้นในระบบอินเทอร์เน็ตจะมีค่าแค่เพิ่งเครื่งมือในการส่งข้อความสั้น โดยที่คุณ ไม่สามารถที่จะแนบเอกสารหรือรูปภาพที่คุณชอบส่งไปได้ จนกระทั่งได้มีการพัฒนา กำหนด Protocol ใหม่ที่ชื่อว่า MIME ซึ่งเป็มาตรฐานในการเข้ารหัสแฟ้มข้อมูลหลายชนิดไปรวมกับ E-Mail ผ่านอินเทอร์เน็ตซึ่งในปัจจุบันนี้ไม่ม ีไฟล์ประเภทไหนที่ MIME ไม่รู้จัก เราจึงสามารถส่งไฟล์ทุกประเภทไปพร้อมกับ E-mail ได้ โดยมีวิธีการคือแปลง ไฟล์รูปภาพ เสียง วีดีโอ ซึ่งอยู่ในรูปแบบ Binary ให้มาอยู่ในรูปแบบตัวอักษร MIME เป็นตัวมาตรฐานที่กำหนดขึ้นเพื่อรองรับจุดประสงค์ที่หลากหลายจากการใช้งาน internet Mail ทั้งนี้เพื่อ ขยายประโยชน์ใช้สอบของอีเมล์ได้มากขึ้น แฟ้มข้อมูลมาตรฐาน MIMEสามารถใช้ร่วมกับการเก็บไฟล์ของส่งผ่าน ไปทางมาตรฐาน SMTP และ UUCP รวมถึง BitNet X.400 SNADS PROFS และยังมีความสามารถในการแลก เปลี่ยนข้อมูลบนระบบปฏิบัติการ ที่ต่างกันแต่ชนิดของซอฟแวร์ที่ใช้ต่างกันได้อย่างน่าอัศจรรย์
      สรุป
      ถึงแม้จะมี Protocol มากมายที่ใช้สำหรับอินเทอร์เน็ตเมล์ซึ่งแต่ละอันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียของตัวเอง ซึ่งโดย ทั่วไปก็จะใช้ POP3 ร่วมกับ SMTP โดยจะใช้ SMTP ในการส่งเมล์ออกไปยังปลายทางและใช้ POP ในการรับ เก็บจดหมาย E-mail เป็นมาตรฐานในการใช้ E-mail ในปัจจุบัน ซึ่งการใช้งานนี้ก็สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิดีแล้ว

การโอนย้ายข้อมูลข้ามเครือข่าย (File Transfer Protocol: FTP)


   การโอนย้ายข้อมูลบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สามารถกระทำได้ทั้งในรูปแบบของรูปภาพและประเภทไฟล์ข้อมูล มีลักษณะของการโอนย้ายข้อมูลทั้งการดาวน์โหลด และการอัพโหลด ซึ่งสามารถจัดแบ่งประเภทของโปรแกรมที่ดาวน์โหลดออกเป็น 4 ประเภท คือ แชร์แวร์ เดโมแวร์ โปรแกรมรุ่นเบต้า และโปรแกรมฟรีโดยเมื่อต้องการดาวน์โหลดไฟล์ข้อมูลจากเว็บไซต์ จะมีรายละเอียดเพื่อบอกถึงประเภทของโปรแกรม นอกจากนี้การดาวน์โหลดข้อมูลประเภทต่างๆ การอัพโหลดข้อมูลก็มีความสำคัญ ถ้าเราต้องการสร้างโฮมเพจของตนเอง ซึ่งอาจจะใช้รูปแบบของการขอพื้นที่ฟรีในการสร้างโฮมเพจจากเว็บไซต์ต่างๆ หรือการเช่าพื้นที่ในการสร้าง  โฮมเพจจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตก็จะต้องใช้โปรแกรมช่วยในการอัพโหลดข้อมูล เช่น โปรแกรม WS-FTP
สาระการเรียนรู้
1.   ลักษณะของการโอนย้ายข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต
1.1  การดาวน์โหลด (Download)
1.2   การอัพโหลด (Upload)
2.     ประเภทของโปรแกรมที่ดาวน์โหลด
2.1    แชร์แวร์ (Shareware)
2.2     เดโมแวร์ (Demoware)
2.3     โปรแกรมรุ่นเบต้า (Beta Software)
2.4     โปรแกรมฟรี (Freeware)


การบริการใช้เครื่องข้ามเครือข่ายด้วย Telnet

การบริการใช้เครื่องข้ามเครือข่ายด้วย Telnet
   เป็นบริการที่ช่วยให้เราสามารถล็อกอินเข้าไปใช้งานในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ไกลได้ เสมือนกับเราไปนั่งใช้งานที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นๆ และสามารถสั่งให้เครื่องปฏิบัติงานตามคำสั่ง หรือโปรแกรมจากเครื่องของเราได้ การแสดงผลลัพธ์ของโปรแกรมTelnet นั้น ส่วนใหญ่แล้วนั้นจะแสดงในรูปของข้อความ
   การทำงานของ Telnet จะช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย เป็นบริการที่สามารถขอเข้าไปใช้บริการ หรือทรัพยากรของคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นได้ ภายในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์จะมีเครื่องแม่ข่าย ที่จะทำหน้าที่ในการประมวลผล และจัดเก็บข้อมูลไปยังฐานข้อมูล งานบางชนิดจะต้องใช้โปรแกรมสำหรับการทำงานเฉพาะอย่าง ดังนั้น เครื่องที่เป็นเครื่องแม่

บริการค้นหาข้อมูลข้าวเครือข่าย

เนื่องจากมีความพยายามที่จะจัดตั้งระบบ Electronic Library หรือห้องสมุดเครือข่ายคอมพิวเตอร์ จึงมีการพัฒนาระบบดังกล่าว เพื่อทำเมนูในการค้นคว้า หาข้อมูลที่ต้องการ ได้แก่
  • Archie
    • มหาวิทยาลัย Mc Gill ใน Montreal ประเทศแคนาดา โปรแกรมนี้เป็นความพยายามอันแรก ที่จะใช้ระบบ Internet เป็น Catalog เพื่อเก็บและเผยแพร่ข้อมูล สารสนเทศบนเครือข่าย คุณสามารถส่งคำถาม ไปยังเครื่องที่บริการด้วย E-mail และเครื่องบริการก็จะตอบคำถามกลับมา เป็นวิธีการแบบง่าย ในการที่จะค้นหาสารสนเทศ ในลักษณะของ anonymous ftp พัฒนาจาก
  • Gopher
    • พัฒนาจากมหาวิทยาลัย Minnesota เป็นวิธีการซึ่งสามารถที่จะค้นหา และ รับข้อมูลแบบง่าย บน Internet โดยไม่ยุ่งยาก และสามารถรับข้อมูลได้หลาย แบบ เช่น ข้อความ เสียง หรือภาพ Gopher นั้น ทำงานผ่านเครือข่ายโดยอัตโนมัติ โดยมีตัวให้บริการ อยู่ทั่วไปบน Internet แต่ละตัวให้บริการ จะเก็บข้อมูลของตนเอง รวมถึงการเชื่อมโยงไปยังตัวให้บริการอื่นๆ ในการเข้าถึง Gopher ด้วย Gopher name
  • Veronica
    • มาจากคำว่า Very Easy Rodent-Oriented Net-oriented Index to Computerized Archives ซึ่งพัฒนาจาก มหาวิทยาลัยแห่ง Nevada ซึ่งจะใช้การค้นหาด้วย Key Word ในทุกๆ ตัวให้บริการ และทุกๆ เมนู หรือเรียกอีกแบบหนึ่งได้ว่า เก็บดัชนีของทุกๆ ตัวให้บริการ ไว้ที่ Veronica
  • WAIS
    • มาจากคำว่า Wide Area Information Sever สามารถใช้โปรแกรมนี้ ในการค้นหาแหล่งข้อมูล โดยใช้ภาษาแบบปกติ ไม่ต้องใช้โปรแกรมภาษาพิเศษ หรือภาษาของฐานข้อมูลในการค้น WAIS ทำงานโดยการรับคำร้อง ในการค้นและเปรียบเทียบ ในเอกสารต้นฉบับว่าเอกสารใด ตรงกับความต้องการ และส่งรายการทั้งหมดมายังผู้ที่ต้องการ

บริการสนทนาออนไลน์ (chat)

ผู้ใช้บริการสามารถคุยโต้ตอบกับผู้ใช้คนอื่นๆ ในอินเตอร์เน็ตได้ในเวลาเดียวกัน (โดยการพิมพ์เข้าไปทางคีย์บอร์ด) เสมือนกับการคุยกันแต่ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ของทั้งสองที่ ซึ่งก็สนุกและรวดเร็วดี บริการสนทนาแบบออนไลน์นี้เรียกว่า Talk เนื่องจากใช้โปรแกรมที่ชื่อว่า Talk ติดต่อกัน หรือจะคุยกันเป็นกลุ่มหลายๆ คนในลักษณะของการ Chat ( ชื่อเต็มๆ ว่า Internet Relay Chat หรือ IRC ก็ได้) ซึ่งในปัจจุบันก็ได้พัฒนาไปถึงขั้นที่สามารถใช้ภาพสามมิติ ภาพเคลื่อนไหวหรือการ์ตูนต่างๆ แทนตัวคนที่สนทนากันได้แล้ว และยังสามารถคุยกันด้วยเสียงในแบบเดียวกับ โทรศัพท์ ตลอดจนแลกเปลี่ยนข้อมูลบนจอภาพหรือในเครื่องของผู้สนทนาแต่ละฝ่ายได้อีกด้วยโดย การทำงาน แบบนี้ก็จะอาศัยโปรโตคอลช่วยในการติดต่ออีกโปรโตคอลหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า IRC (Internet Relay Chat) ซึ่งก็เป็นโปรโตคอลอีกชนิดหนึ่งบนเครือข่ายอินเทอเน็ตที่สามารถทำให้ User หลายคนเข้ามาคุยพร้อมกันได้ผ่านตัวหนังสือแบบ Real time

กระดานข่าว(Bulletin Board System : BBs)

กระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์ (อังกฤษ: Bulletin Board System) หรือ บีบีเอส (BBS) เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่รันซอฟต์แวร์ที่อนุญาตให้ผู้ใช้หลาย ๆ คน ใช้คอมพิวเตอร์และโปรแกรมเทอร์มินัลติดต่อเข้าไปในระบบ ผ่านทางโมเด็มและสายโทรศัพท์. โดยในระบบจะมีบริการต่าง ๆ ให้ใช้ เช่น ระบบส่งข้อความระหว่างผู้ใช้ (คล้าย จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ในอินเทอร์เน็ตปัจจุบัน แต่รับส่งได้เฉพาะภายในระบบเครือข่ายสมาชิกเท่านั้น) ห้องสนทนา บริการดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ และกระดานแจ้งข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เป็นต้น
บีบีเอสส่วนใหญ่เปิดให้บริการฟรี โดยสมาชิกจะสามารถเข้าใช้ระบบได้แต่ละวันในระยะเวลาจำกัด บีบีเอสมักจะดำเนินการในรูปของงานอดิเรกของผู้ดูแลระบบ หรือที่เรียกกันว่า ซิสอ็อป (SysOp จากคำว่า system operator)
บีบีเอสส่วนในเมืองไทยมีขนาดเล็ก มีคู่สายเพียง 1 หรือ 2 คู่สายเท่านั้น บางบีบีเอสยังอาจเปิดปิดเป็นเวลาอีกด้วย บีบีเอสขนาดใหญ่ที่ได้รับความนิยมมากในสมัยก่อนได้แก่ ManNET ซึ่งมีถึง 8 คู่สายและเปิดบริการตลอด 24 ชม. ManNET ดำเนินการโดยแมนกรุ๊ป ผู้จัดทำนิตยสารคอมพิวเตอร์รายใหญ่ในยุคนั้น. นอกจากนี้ยังมีบีบีเอส CDC Net ของ กองควบคุมโรคติดต่อ (กองควบคุมโรค ในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นบีบีเอสระบบกราฟิกรุ่นบุกเบิกของประเทศไทย
ในปัจจุบัน บีบีเอสมีบทบาทน้อยลงไปมาก เนื่องจากความแพร่หลายและข้อได้เปรียบหลายประการของ อินเทอร์เน็ต และ เวิลด์ไวด์เว็บ. ในประเทศญี่ปุ่น คำว่า บีบีเอส อาจจะใช้เรียกกระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์บนอินเทอร์เน็ตด้วย. แต่สำหรับเมืองไทยแล้ว นิยมเรียกกระดานข่าวเหล่านี้ว่า เว็บบอร์ด มากกว่า

กระดานข่าว (BBS)
กระดานข่าว หรือ Bulletin Board Sytem (BBS) เป็นบริการข่าวสารรูปแบบหนึ่ง โดยอาศัยการเผยแพร่ข้อมูลผ่านกระดานอิเล็กทรอนิกส์ ของเครือข่าย ตามหมวดหมู่ที่มีการกำหนดไว้ หรืออาจจะกำหนดเพิ่มเติมก็ได้ ที่เรียกว่ากลุ่มข่าว (Newsgroup) เช่น กลุ่มผู้สนใจด้านศิลปะ, ด้านโปรแกรม เป็นต้น ปัจจุบันเป็นบริการหนึ่งที่นิยม และมีการปรับรูปแบบให้อยู่ในรูปของเอกสาร HTML ทำให้สามารถเรียกดู และใช้งานได้อย่างสะดวก รวดเร็ว

การค้าอิเล็กทรอนิกส์

การค้าอิเล็กทรอนิคส์

ความหมายของการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce)          พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หมายรวมถึงการค้าทุกประเภทที่กระทำผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในขณะที่หลายคนอาจจะนึกถึงเฉพาะการค้าบนเว็บอย่างเดียว แต่จริง ๆ แล้วการค้าขายโดยผ่านทางเครื่องแฟกซ์ โดยเราแฟกซ์เอกสารขายตรงออกไป และลูกค้าแฟกซ์ใบสั่งซื้อเข้ามาก็ถือเป็น E-commerce หรือการขายตรงทางทีวียิ่งชัดเจนมากขึ้น เช่น การเสนอขายสินค้าผ่านทางทีวีก็ถือเป็นแบบ E-commerce ได้เช่นกัน (ศูนย์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์, 2544)จะเห็นได้ว่า   การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง การประกอบธุรกิจ ซื้อขายสินค้าผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งที่นิยมได้แก่อินเทอร์เน็ต โดยที่ผู้ซื้อและผู้ขายไม่จำเป็นต้องเห็นหน้ากัน และสามารถติดต่อโอนเงินผ่านอิเล็กทรอนิกส์การค้าแบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการค้าแบบ E-business หรือการประยุกต์อินเทอร์เน็ตในการดำเนินธุรกิจ โดยทั่วไปแล้วหมายถึงการค้าแบบ "ซื้อมา-ขายไป" ในส่วนของหน้าร้าน (front office) ซึ่งมีหลายแบบ ได้แก่
          1. การค้าระหว่างองค์กรธุรกิจกับองค์กรธุรกิจ (Business to Business (B-to-B)) เป็นการค้าขนาดใหญ่ระหว่างองค์กรกับองค์กร ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นการสินค้าส่งออก นำเข้าหรือค้าส่งที่ต้องส่งสินค้าเป็นล็อต (lot) ขนาดใหญ่ ซึ่งการชำระเงินจะผ่านระบบธนาคาร เช่น T/T, L/C หรือเช็ค เป็นต้น
          2. การค้าระหว่างองค์กรธุรกิจกับผู้บริโภค (Business to Consumer (B-to-C)) เป็นการค้าปลีกไปยังผู้บริโภคทั่วโลก หรือภาย ในท้องถิ่นของตน ในส่วนนี้อาจจะรวมการค้าปลีกแบบล็อตใหญ่หรือเหมาโหลหรือค้าส่งขนาดย่อยไว้ด้วย ซึ่งการชำระเงินโดยส่วนใหญ่จะเป็นการชำระผ่านระบบบัตรเครดิต แต่อย่างไรก็ตาม การค้าแบบ B-to-C นี้มักทำให้เกิดกาค้าแบบ B-to-B ในอนาคตได้ และหลายบริษัท มักทำกิจกรรมสองอย่างนี้ในคราวเดียวกัน
          3. การค้าระหว่างผู้บริโภคด้วยกัน (Consumer to Consumer (C-to-C)) เป็นการค้าปลีกระหว่างผู้ใช้อินเทอร์เน็ตด้วยกัน เช่น อาจจะเป็นการขายสินค้าหรือข้าวของเครื่องใช้ที่ใช้งานแล้ว รวมทั้งการเปิดประมูลเพื่อขายข้าวของเครื่องใช้ของตนเองด้วย การแบ่งกลุ่มข้างต้นนี้ ถือเป็นแนวทางคร่าว ๆ ให้เราได้ตัดสินใจว่า จะเลือกเดินในทางใดในการทำธุรกิจบนเว็บ ซึ่งถือเป็นการเลือกคู่ค้าไปในตัว ความจริงแล้วเราอาจจะแบ่งกลุ่มได้มากกว่านี้ ขึ้นอยู่กับรายละเอียดที่นำมาใช้ในการจัดรูปแบบ เช่น หากทำการค้าขายกับองค์กรของรัฐบาลอาจจะเรียกเป็น Business-to-Government ก็ได้ หรือหากค้าขายกับองค์การที่ไม่ค้ากำไรก็อาจเรียกเป็นการค้าแบบ Business-to-NGO--Non Government Organization หรืออาจจะขายตรงไปยังผู้ค้าส่งก็เรียกว่า Business-to-Wholesaler เป็นต้น

การทำธุรกิจแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-business)

          การทำธุรกิจแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-business) หมายถึง การดำเนินธุรกิจโดยอาศัยเทคโนโลยีด้านอิเล็กทรอนิกส์ หรืออินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลาง โดยมีการประยุกต์ใช้ในทุกกิจกรรมทั้งในส่วนของหน้าร้าน (front office) หรือเว็บไซต์ที่ใช้ในการติดต่อค้าขายและหลังร้าน (back office) หรือระบบจัดการภายใน ไม่ว่าจะเป็นระบบคลังสินค้า ระบบบัญชี ระบบการเงินหรือแม้แต่ระบบการผลิต รวมทั้งการเชื่อมต่อกับระบบการค้ากับองค์กรภายนอกด้วย อาทิเช่น กับธนาคารโดยใช้ระบบ e-Banking หรือ suppliers โดยผ่าน ระบบ e-supply chain ทั้งนี้โดยอาศัยสื่อทั้งในรูปของ Internet และ Extranet และ/หรือ Virtual Private Network--VPN ที่ทำงานเฉพาะกลุ่มที่มีการรักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษ (ศูนย์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์, 2544)

จุดประสงค์หลักของการนำเอาระบบอินเทอร์เน็ตเข้าไปประยุกต์ใช้ในการบริหารงานด้านต่าง ๆ หรือในทุกส่วนของ กระบวนการธุรกิจนี้เพื่อ
          1. ลดต้นทุน การลดต้นทุนในการติดต่อสื่อสารโดยใช้อีเมล์แทนการใช้โทรสาร ลดค่าพิมพ์แคตตาล็อคสินค้า ลดค่าออกใบเสร็จรับเงิน ลดเวลาการตัดสต็อกในคลังสินค้า ประหยัดเวลาในการบันทึกบัญชี และลดค่าใช้จ่ายในการวางแผนการผลิต
          2. ประหยัดเวลา ทั้งนี้เพราะทุกอย่างสามารถทำงานได้เอง โดยผ่านเครือข่ายโดยอัตโนมัติทำให้กระบวนการบริหารงานเป็นไปอย่าง รวดเร็ว ไม่ต้องใช้คนมางานที่ซ้ำซ้อนเหมือนอย่างที่ผ่านมาแต่อย่างใด
          3. เพิ่มประสิทธิภาพ เนื่องจากการทำงานได้รวดเร็วขึ้น และทำได้ถูกต้องแม่นยำ เพราะลูกค้าเป็นผู้ป้อนข้อมูลต้องสั่งซื้อสินค้าเพียงคนเดียว และจุดเดียว ซึ่งข้อมูลทั้งหมดสามารถทำไปออกใบเสร็จรับเงินได้ บันทึกบัญชีได้ หรือสั่งซื้อวัตถุดิบได้ทั้งหมด
          4. ขยายตลาด ทั้งนี้เพราะการต่อเชื่อมระบบอินเทอร์เน็ตจักทำให้เราสามารถนำเสนอสินค้าออกสู่ตลาดโลกได้อย่างรวดเร็วขึ้น เพราะจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกว่า 400 ล้านคน เป็นนักธุรกิจมากกว่า ร้อยละ 80
 การค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบันมีแนวทางในการดำเนินกลยุทธ์ที่หลากหลายมาก ทั้งนี้เพราะการทำธุรกิจบนเครือข่าย แห่งนี้ลงทุนต่ำและอาศัยความคิดสร้างสรรค์ (creative) หรือไอเดียเป็นหลัก ฉะนั้นจึงมีธุรกิจรูปแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างมากมายตลอดเวลา แต่อย่างไรก็ตามจากการศึกษาวิเคราะห์ เราพบว่ารูปแบบการค้าบนอินเทอร์เน็ตหรือ e-Business Model สามารถแบ่งออกเป็น 5 รูปแบบ คือ (ศูนย์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์, 2544)
           1. แบบซื้อมา-ขายไป (e-business store font) การค้าแบบซื้อมา-ขายไป เป็นการค้าขายแบบตรงไปตรงมา คือเป็นแหล่ง ให้ผู้บริโภคมาจับจ่ายซื้อของโดยทั่วไปแล้วกลุ่มเป้าหมายมักจะอยู่ในวงจำกัดตามลักษณะของสินค้าที่ขาย ส่วนสิ่งที่เสนอขายกันนั้น ได้แก่ สินค้า บริการ รวมทั้งเนื้อหาข้อมูลต่าง ๆ
           2. แบบสื่อกลางด้านข่าวสาร (infomediary) การค้าแบบสื่อกลางด้านข่าวสาร โดยไม่มีการซื้อขายสิ่งใด นอกจากเป็นศูนย์กลางในการอำนวยความสะดวกของการขายและให้บริการต่าง ๆ ให้ผู้ซื้อผู้ขายมาพบกัน สำหรับธุรกิจนี้ใช้วิธีการเสนอขายดังนี้ การให้บริการความเป็นศูนย์รวมของสรรพสิ่ง หรือที่เราเรียกกว่า "พอร์ทัล" (portal)
           3. แบบสื่อกลางด้านความไว้ใจ (trust intermediary) การค้าแบบสื่อกลางด้านความไว้ใจเป็นการให้บริการเพื่อสร้างความไว้วางใจกันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ซึ่งในการให้บริการจักมีการสร้างสิ่งแวดล้อมหรือระบบรักษาความปลอดภัยหรือระบบรักษาความปลอดภัย
           4. แบบขายเครื่องมือในการทำธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-business enabler) การค้าแบบขาย เครื่องมือในการทำธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นการค้าขายเครื่องมือทำการค้าบนเว็บที่อำนวยความสะดวกและพร้อมใช้งานได้เลย รวมทั้งให้ความไว้วางใจว่าการค้าบนเว็บเป็นไปอย่างราบรื่น และปลอดภัย การเสนอขาย ได้แก่ระบบการค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น ระบบออนไลน์แคตตาล็อค ระบบตะกร้า ระบบการชำระเงิน และติดตามผลการสั่งซื้อ เป็นต้น
           5. การให้บริการสาธารณูปโภคพื้นฐาน (infrastructure providers) การให้บริการสาธารณูปโภคพื้นฐาน เป็นการค้าสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อสนับสนุนธุรกรรมของการค้าบนเว็บเช่น ให้บริการอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการต่อเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต การรับสร้างเว็บเพจ การให้เช่าโฮสต์ หรือแม้แต่การจัดส่งสินค้าให้

e-Marketplace และแนวโน้มการค้าบนเว็บในอนาคต

           การสร้างตลาดบนเว็บ หรือที่เรียกว่า e-Marketplace ถือเป็นแนวโน้มของการค้าบนเว็บ แต่อย่างไรก็ตาม โดยความจริงแล้วก็ไม่ได้แตกต่างกับการสร้างตลาดทำการค้าขายปกติแต่อย่างใด จะต่างกันก็ตรงที่ว่าสร้างขึ้นมาได้โดยอาศัยเพียงการสร้างภาพเท่านั้น ไม่ต้องมีตึกแถว ไม่ต้องมีคอมเพล็กใหญ่โต และใช้เงินลงทุนที่ต่ำมากกว่าการสร้างตลาดจริง ๆ หลายเท่าตัวทีเดียวการสร้างตลาดบนเว็บ ไม่ได้แตกต่างจากการสร้างห้างสรรพสินค้าออนไลน์ทั่วไปนัก (ความจริงแล้ว ห้างออนไลน์เหล่านั้น ก็คือ e-Marketplace เช่นกัน) ที่ผู้ที่เป็นเจ้าของห้างจำเป็นต้องวางผังของห้องให้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของหมวดหมู่สินค้า ซึ่งต้องมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า การใช้กลยุทธ์ในเชิงรุก คือมุ่งหาผู้ขายสินค้าที่เราตั้งใจไว้จะให้เป็นส่วนหนึ่งของตลาดที่สร้างขึ้น เพื่อให้ครบองค์ประกอบหลัก เพราะหากปล่อยไปอาจจะทำให้เรามีร้านค้าในหมวดสินค้าหมวดใดหมวดหนึ่งมากเกินไป ฉะนั้นหากท่านเป็นเจ้าตลาดก็ควรจะต้องแสวงหาสินค้าต่าง ๆ เข้ามาเอง มากกว่านั่งรอให้ผู้ขายมาเปิดร้านสำหรับเทคนิคในการให้เจ้าของตลาดบนเว็บทั้งหลาย ได้จำนวนผู้ขายจำนวนมากเข้ามา ร่วมด้วย คือ การบริการฟรี หรือหากเก็บเงินก็เก็บกันแบบถูก ๆ ซึ่งจะทำให้ผู้ขายรู้สึกไม่ต้องเสี่ยงมากหากขายสินค้าไม่ได้ แต่ก็ต้องระวัง เพราะถึงจะฟรีอย่างไรก็ตาม เป้าหมายสูงสุดของผู้ขายก็คือ พวกเขาต้องขายสินค้าได้ เพราะหากขายไม่ได้ต่อให้ฟรีก็ปิดร้านหนีเช่นกัน หรือบางร้านไม่ปิด แต่ใช้วิธีปล่อยทิ้งร้านไม่ดูแลกก็อาจจะเป็นปัญหาต่อไปได้ การสร้างตลาดบนเว็บขึ้นมา มีข้อควรพิจารณาคือ ผู้ที่จะ เข้าไปร่วมค้าในตลาดใดตลาดหนึ่งก็ต้องพิจารณาเงื่อนไขให้ครอบคอบว่าจะได้หรือเสียมากกว่ากัน แต่อย่างไรก็ดีการค้าร่วมในตลาด ย่อมมีผลดีตรงที่ว่าผู้ซื้อหรือผู้นำเข้าสินค้ามาสำรวจ หรือค้นหาที่เว็บไซต์ที่เป็น e-Marketplace เพียงจุดเดียว และเปรียบเทียบสินค้า ราคาและคุณภาพได้โดยง่าย ทำให้ผู้เสนอขายทุกรายมีโอกาสที่จะขายสินค้าได้ หากสินค้าของตนมีคุณลักษณะที่ตรงกับความต้องการ สำหรับเว็บไซต์ e-Marketplace ได้แก่ www.eceurope.com หรืออย่าง www.verticalnet.com ซึ่งเป็นศูนย์รวมของ e-Marketplace ของสินค้าต่าง ๆ ทั่วโลก

ปัจจัยที่ทำให้การค้า e-Commerce ไม่ประสบผลสำเร็จ

           ในการประกอบธุรกิจแบบ e-commerce นั้นมีทั้งประสบผลสำเร็จ และล้มเหลว ในที่นี้จะกล่าวถึงเว็บที่ไม่ประสบผลสำเร็จ ซึ่งมีสาเหตุมาจาก (ศูนย์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์, 2544)
           1. การลอกเลียนแบบ  เป็นการทำธุรกิจตามคนอื่นที่ทำอยู่ก่อนแล้ว เห็นทำเว็บก็ทำตาม เช่น บรรดาพอร์ทัลไซต์ทั้งหลาย ซึ่งที่เห็นหลายรายก็ทำตามทุกอย่าง ไม่มีส่วนใดต่อยอดให้ดีขึ้นเลยก็มี ซึ่งความจริงแล้วการลอกเลียนแบบอาจจะนำไปใช้กับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน เพียงแต่ใช้หลักการเดียวกันเท่านั้น หรือก็อาจจะใช้กับกลุ่มเป้าหมายเดียวกันได้ หากกลุ่มเป้าหมายนั้นมีจำนวนมากพอ หรือมากขนาดที่ เว็บไซต์ที่มีอยู่เดิมไม่สามารถที่จะรองรับได้
           2. การอยู่กับความฝัน เป็นการอาศัยแนวความคิดแต่ไม่ได้ลงมือปฏิบัติให้เห็นจริง หรือทำครึ่ง ๆ กลาง ๆ แนวคิดแรก ยังไม่ได้ทำให้เป็นจริงเลย ก็ไปทำแนวคิดที่สองแล้วเป็นอย่างนี้เรื่อยไป อย่างนี้ถือว่าไม่ประสบผลสำเร็จ
           3. ทำเว็บไซต์ที่วิจิตรสวยงาม  การทำเว็บไซต์ให้สวยงาม เน้นความเลิศหรูจนลืมแก่นแท้ของความต้องการผู้ใช้เว็บหรือกลุ่มเป้าหมายไป กล่าวคือไม่ให้ความสำคัญแก่กระบวนการที่จะให้บริการลูกค้าผู้ใช้เว็บอย่างมีประสิทธิภาพ การได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง และรวดเร็วจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ซึ่งเราต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้ก่อนที่จะไปตกแต่งโฮมเพจให้สวยงาม
           4. ทำเว็บไซต์แบบไร้ทิศทางการทำเว็บไซต์ที่นึกอะไรได้ก็ทำไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้นึกถึงความเชื่อมโยงหรือความสัมพันธ์กัน อันจะก่อให้เกิดคุณค่าสูงสุดแก่ผู้ใช้งาน การทำเว็บไซต์ที่ดีนั้น หลักการคือต้องทำให้เกิดการเสริมกัน หรือ synergy คือทุกอย่างต้องเกื้อหนุนและมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน หรือในลักษณะครบวงจร (one-stop service) มาที่นี่ที่เดียวได้ครบหมดทุกอย่าง
           5. ไม่มีระบบสนับสนุนพื้นฐานที่เพียงพอการไม่มีระบบสนับสนุนพื้นฐานที่เพียงพอ คือเป็นประเภท ที่ได้แต่คิด แต่อาจจะไม่ได้มองว่า ระบบหรือเทคโนโลยีสนับสนุนหรือไม่ พอทำไปแล้วครึ่งทางถึงได้รู้ว่า มันไม่มีซอฟต์แวร์หรือเครือข่ายสนับสนุนได้อีกประการหนึ่งก็คือ ไม่ได้จัดหาทั้งคน ทั้งระบบ ทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์เตรียมพร้อมไว้ สำหรับการรองรับการขยายตัว ทำแล้วขยายตัวไม่ได้ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งการขยายตัวเพื่อเข้าสู่จุดคุ้มทุนและทำกำไร ซึ่งในสภาพเช่นนี้ไม่มีทางเลือกที่ท่านจะประสบความสำเร็จ
           6. ทำงานได้ทีละอย่างการทำงานได้ทีละอย่าง กล่าวคือไม่สามารถจัดการกับการงานได้พร้อม ๆ กันหลายงาน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับการบริหารโครงการธุรกิจบนเว็บที่เราต้องทำงานได้หลาย ๆ รูปแบบในเวลาเดียวกัน จะทำที่ละเรื่องเมื่อเสร็จแล้วค่อยทำอีก เรื่องนี้จะไม่ทันกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่ปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากได้รับข้อมูลข่าวสารใหม่ ๆ เพิ่มเติมเข้ามาโดยตลาดจากทุกมุมโลก
           7. คิดเล็กเกินไป การดำเนินธุรกิจบนเว็บ นั้นถ้าหากคิดเล็กเกินไป ทำให้โครงการที่ทำออกมาไม่สามารถที่จะต่อยอดและขยายตัวออกไปได้ ทำให้ไม่สามารถจะสร้างยอดขายจำนวนมากให้คุ้มทุนได้ ทั้งนี้เพราะตลาดบนเว็บนั้นมันมีขนาดใหญ่มหาศาล ดังนั้นต้องคิดการใหญ่ มีการกำหนดทิศทางที่จะเติบโตไว้ด้วย